โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (Erectile dysfunction)

หนึ่งในปัญหาโลกแตกของผู้ชายทั่วโลกล้วนเผชิญเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องที่เปิดอกพูดคุยกันน้อยมาก ตั้งแต่ภาวะ นกเขาไม่ขัน นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ ฯลฯ เพราะรู้สึกเขินหรืออายเกินกว่าจะพูดถึงหรือปรึกษาแพทย์ จนบางครั้งทำให้กลายเป็นปมในจิตใจไป ซึ่งจริงๆแล้วปัจจุบันความรู้ทางการแพทย์พัฒนาไปจนสามารถตอบได้เกือบจะครบทุกข้อสงสัยของสุขภาพน้องชาย และสามารถหาวิธีการรักษาหรือบรรเทาได้เกือบทั้งหมด

บทความนี้จะเล่าเรื่องตั้งแต่ที่มาของสภาวะหย่อนสมรรถภาพไปจนถึงการรักษา รับรองว่าอ่านแล้วจะเห็นภาพรวมทั้งหมดเลยว่าน้องชายเราเป็นอย่างไร

สารบัญ

ปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายมีอะไรบ้าง

ผมคิดดูแล้วน่าจะมี 3 ปัญหาหลักที่พบได้ในคนทั่วไปดังนี้

  1. นกเขาไม่ขัน (อวัยวะเพศไม่แข็งตัวเพียงพอ) อันนี้เรียกว่า Erectile Dysfunction หรือชื่อย่อว่า ED
  2. ภาวะล่มปากอ่าว หรือ นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ (หลั่งเร็วเกิน) อันนี้เรียกว่า Premature Ejaculation
  3. ปัญหาการหลั่งช้า ทำเท่าไรก็ไม่เสร็จ เรียกว่า Delayed Ejaculation

ซึ่งแต่ละอันก็จะมีรูปแบบความแตกต่างของมันเอง มาลองดูตัวอย่างของแต่ละแบบ

1. นกเขาไม่ขัน (อวัยวะเพศไม่แข็งตัว)

เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดของผู้ชายทั่วโลก โดยจะพบได้ประมาณ 40% ในผู้ชายอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป (30% ในผู้ชายที่อายุ 30 ปีขึ้นไป และประมาณ 50% ในผู้ชายที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ซึ่งปัญหามีตั้งแต่อวัยวะเพศไม่สามารถแข็งตัวตลอดกิจกรรม หรือหนักที่สุด ไม่มีสามารถแข็งตัวเพียงพอจนเริ่มกิจกรรมได้เลย

2. นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ (อาการหลั่งเร็ว)

อาการหลั่งเร็ว หรือภาษาพูด คือ นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ หรือเรือล่มปากอ่าว เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้ชายทุกช่วงอายุ เป็นภาวะที่ไม่สามารถควบคุมการหลั่งให้นานพอที่อีกฝ่ายจะถึงจุดสุดยอดได้ ซึ่งโดยตามธรรมชาตินั้น เมื่อมีเพศสัมพันธ์กัน ฝ่ายชายสามารถถึงจุดสุดยอดได้ ในเวลาประมาณ 2-3 นาที ซึ่งถ้าหากเร็วกว่านี้จะเข้าข่ายเป็นภาวะหลั่งเร็ว

3. ปัญหาการหลั่งช้า

โดยปกติคนทั่วไป ผู้ชายจะสามารถหลั่งได้ภายใน 15 นาที ซึ่งเป็นระยะเวลามาตรฐานสำหรับผู้หญิงที่จะมีกิจกรรมด้วย ถ้าหากนานกว่านี้เช่น 30 นาทีก็ถือว่าเป็นปัญหาเช่นกัน

จริงๆแล้ว อาจจะมีปัญหาอื่นๆอีกร่วมด้วย รู้สึกไม่มีอารมณ์ทางเพศ หรือ อวัยวะเพศโค้งงอผิดรูป ซึ่งผมจะไม่ไดกล่าวถึงในบทความนี้

สาเหตุของการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเกิดจากอะไร?

  1. สาเหตุทางกายภาพ ได้แก่ โรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน (หลอดเลือด) คอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคพาร์กินสัน การสูบบุหรี่ โรค Peyronie’s disease — เป็นโรคที่เกิดพังผืดภายในองคชาต โรคพิษสุราเรื้อรังและการใช้สารเสพติดในรูปแบบอื่นๆ ความผิดปกติของการนอนหลับ การรักษามะเร็งต่อมลูกหมากหรือต่อมลูกหมากโต การผ่าตัดหรือการบาดเจ็บที่ส่งผลต่อบริเวณอุ้งเชิงกรานหรือไขสันหลัง ภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ
  2. สาเหตุทางจิตใจ เช่น ผู้ที่มีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล หรือภาวะสุขภาพจิตอื่นๆ ความเครียด หรืออาจมีปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างคู่ อันเนื่องมาจากความเครียด การสื่อสารที่ไม่ดี ความกังวล เป็นต้น

    การเร้าอารมณ์ทางเพศชาย เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนซึ่งเกี่ยวข้องกับ สมอง ฮอร์โมน อารมณ์ เส้นประสาท กล้ามเนื้อ และหลอดเลือด การหย่อนสมรรถภาพทางเพศอาจเกิดจากปัญหาเหล่านี้ ในทำนองเดียวกัน ความเครียดและความกังวลเรื่องสุขภาพจิตสามารถทำให้เกิดหรือทำให้หย่อนสมรรถภาพทางเพศแย่ลงได้เช่นกัน ซึ่งสามารถแบ่งตามสาเหตุต่างๆได้ดังนี้

  3.  

Erectile Dysfunction (ภาวะน้องชายไม่แข็งตัว)

ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction : ED) หรือ นกเขาไม่ขัน หรือ น้องชายไม่แข็งตัว หมายถึง การที่อวัยวะเพศไม่สามารถแข็งตัวได้ หรือแข็งได้ไม่นานพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้สำเร็จเป็นที่พึงพอใจอยู่เป็นประจำ หรืออย่างต่อเนื่อง โดยจะพบได้ประมาณ 40% ในผู้ชายอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป (30% ในผู้ชายที่อายุ 30 ปีขึ้นไป และประมาณ 50% ในผู้ชายที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป โดยแบ่งระดับความรุนแรงของโรคได้ดังนี้

  • หย่อนสมรรถภาพอย่างอ่อน : ผู้ป่วยสามารถมีอวัยวะเพศแข็งตัวพอดี สำหรับการมีเพศสัมพันธ์ได้เกือบทุกครั้ง
  • หย่อนสมรรถภาพปานกลาง : ผู้ป่วยสามารถมีอวัยวะเพศแข็งตัวดี สำหรับการมีเพศสัมพันธ์ได้บ้างเป็นบางครั้ง
  • หย่อนสมรรถภาพโดยสิ้นเชิง : ผู้ป่วยไม่สามารถมีอวัยวะเพศแข็งตัวดีพอ สำหรับการมีเพศสัมพันธ์ได้เลย

ย้ำอีกครั้ง การที่น้องชายไม่แข็งตัว หรือ การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ นั้นหลักๆเกิดจากการที่เส้นเลือดบริเวณน้องชายนั้นทำงานได้ไม่ปกติ แต่เรายังมีความรู้สึกและมีอารมณ์ร่วมอยู่ดังนั้นมันจึงไม่ใช่การไร้สมรรถภาพแต่อย่างใด ซึ่งภาวะการไม่แข็งตัวจะน้อยหรือมาก ปัจจุบันสามารถรักษาได้ซึ่งจะพูดถึงต่อไป

ถ้าหากท่านมีอาการอย่างหนึ่งอย่างใด จาก 5 ข้อด้านล่างนี้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา 1 เดือนอยู่บ่อยครั้ง ถือว่ามีโอกาสที่จะถูกจัดในสภาวะหย่อนสมรรถภาพได้

    • อวัยวะเพศของท่านสามารถแข็งตัวได้ บ่อยครั้ง เพียงใด
    • เมื่อท่านได้รับการเร้าทางเพศแล้ว อวัยวะเพศแข็งตัวขึ้น บ่อยแค่ไหนที่อวัยวะเพศจะสอดเข้าข้างในช่องคลอดได้
    • เมื่อท่านพยายามมีเพศสัมพันธ์ บ่อยแค่ไหน ที่ท่านสามารถ สอดเข้าไปในช่องคลอดได้

เมื่อใดควรไปพบแพทย์?

เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้ ท่านควรปรึกษาแพทย์ ได้แก่

  1. คุณมีความกังวลเกี่ยวกับ การแข็งตัวของอวัยวะเพศ (Erectile Dysfunction) หรือคุณกำลังประสบปัญหาทางเพศอื่นๆ เช่น การหลั่งเร็ว (Premature Ejaculation) หรือ หลั่งล่าช้า (Delayed Ejaculation)
  2. คุณเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือภาวะสุขภาพอื่นๆ ที่อาจเชื่อมโยงกับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
  3. คุณมีอาการอื่นควบคู่ไปกับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

การรักษาภาวะน้องชายไม่แข็งตัว (Erectile Dysfunction Treatment)

การรักษาภาวะน้องชายไม่แข็งตัวเพียงพอ ทำได้หลายวิธีดังนี้

ยาชนิดรับประทาน

ซึ่งยาทุกตัวจะมีผลกับ Nitric Oxide ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ทำให้เลือดคั่งอยู่ในอวัยวะเพศได้นานขึ้นและทำให้น้องชายแข็งตัวได้นานขึ้นนั่นเอง โดยยาปัจจุบันที่ใช้กันจะมี 4 ชนิด คือ Sildenafil, Tadalafil, Vardenafil, Avanafil โดยแต่ละชนิดก็จะแตกต่างกันไปในเรื่องของระยะเวลาการออกฤทธิ์ต่างๆ

ยากลุ่มนี้ทั้งหมด เมื่อทานไปแล้วไม่ได้ทำให้น้องชายแข็งตัวทันที เราจะต้องมีสิ่งที่เข้ามากระตุ้นก่อนเสมอเหมือนเวลามีอารมณ์โดยทั่วไป ต้องมีสัญญาณจากสมองส่งมาที่กล้ามเนื้อของเส้นเลือดแดงภายในน้องชายให้หลั่ง Nitric Oxide ออกมา เมื่อนั้นยาจึงจะเริ่มออกฤทธิ์ครับ แปลว่า ถ้าเราไม่มีอารมณ์ยังไงก็ปลุกไม่ตื่นนั่นเอง แต่ถ้าเรามีอารมณ์แต่ดันปลุกไม่ตื่น ยาตัวนี้จึงช่วย

การจะทานยาตัวนี้ ต้องระมัดระวังอย่างมาก ในคนที่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิตต่ำเป็นทุนเดิม คนที่มีโรคหัวใจ และคนที่ทานกลุ่มของ Nitrate เพื่อรักษาอาการเจ็บหน้าอกทุกคน และเราไม่ควรซื้อทานเอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

ยาชนิดฉีด

จะเป็นการฉีดยาเข้าไปในบริเวณฟองน้ำ (corpus cavernosum) ของน้องชาย ยาที่ใช้ก็จะเป็นกลุ่มของยาขยายหลอดเลือดบริเวณน้องชายทำให้เลือดมาคั่งบริเวณนี้มากขึ้น เช่น ยา Alprostadil

การผ่าตัดเพื่อแก้ไข

สามารถใส่แกนองคชาติเทียม (Penile implant) หรือการใช้เครื่องสุญญากาศได้ (Vacuum device)

การใช้เครื่อง Shockwave

การใช้เครื่อง Low-Intensity Shock Wave Therapy หรือ การรักษาด้วยคลื่นเสียงที่มีความเข้มต่ำแบบแรงกระแทกจากภายนอก เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเส้นเลือดใหม่ (angiogenesis) ทำให้การฟื้นฟู ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และเพิ่มการไหลเวียนของเลือดบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งมีผลทำให้การแข็งตัวของอวัยวะเพศดีขึ้นจากการกระตุ้นหลอดเลือดที่มีอยู่แล้ว ซึ่งถือเป็นแนวทางการรักษาวิธีใหม่ที่ไม่ต้องทานและไม่ต้องฉีดยาใดๆ

ในส่วนถัดจากนี้ผมจะเน้นที่รายละเอียดการใช้เครื่อง Shockwave สำหรับการรักษาภาวะ ED เป็นหลัก

ขั้นตอนการทำ Shockwave

  • เริ่มจากการกระตุ้นบริเวณต่างๆของอวัยวะเพศเพื่อให้ครอบคลุมบริเวณที่เรียกว่า “corpus cavernosum” ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อภายในอวัยวะเพศ การทำ Shockwave สามารถใช้ได้จำนวนสูงสุด 5,000 shots กระตุ้นบริเวณอวัยวะเพศ 5 ตำแหน่งเพื่อครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณของอวัยวะเพศและกล้ามเนื้อรอบๆที่เกี่ยวข้อง
  • คนไข้ที่ได้รับการรักษาไปแล้วให้คะแนนความพึงพอใจหลังการรักษาเพิ่มขึ้นถึง 7 points ตามหลักการของ IIEF (International Index of Erectile Function)
  • นอกจากนั้นการไหลเวียนของเลือดที่ดีขึ้นยังสามารถวัดได้จากผลการวิเคราะห์ต่างๆและคนไข้ส่วนใหญ่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ปกติหลังได้รับการรักษา 5 ครั้ง และผลการรักษาดังกล่าวอยู่ได้นานถึง 6 สัปดาห์ โดยอาจแตกต่างกันได้ในคนไข้แต่ละราย

ต้องรับการรักษาบ่อยแค่ไหน

ในการรักษาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศด้วยวิธี Low-Intensity Shock wave Therapy จะใช้เวลาในการรักษา ประมาณครั้งละ 30 นาที โดยทำวันเว้นวัน หรือ อาจเป็นวันเว้น 2วัน แต่ไม่แนะนำให้รับการรักษาติดต่อกันทุกวัน หรือห่างเกิน 2 วัน รวมจำนวน 5 -7 ครั้ง แล้วแต่ดุลยพินิจของแพทย์
ในระหว่างรับการักษาไม่จำเป็นต้องวางยาสลบ หรือ ให้ยาแก้ปวดแต่อย่างใด ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล รวมทั้งสามารถปฏิบัติกิจกรรมทางเพศได้หลังการรักษาภายในวันเดียวกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องงดกิจกรรมแต่อย่างใด

รักษา โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (Erectile dysfunction) ที่ Pain Clinic Near Me ดีอย่างไร?

การรักษาโดยใช้เครื่องมือ Shockwave เป็นวิธีที่ง่ายเนื่องจากคนไข้จะไม่เจ็บปวด ไม่รู้สึกเขินอายและเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากสามารถช่วยให้คนไข้มีสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้นและได้ผลในระยะยาวและที่สำคัญที่สุดคือช่วยเพิ่มความมั่นใจและความสุขในการใช้ชีวิต

หากคุณกำลังเผชิญกับโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (Erectile dysfunction) อย่าปล่อยทิ้งไว้จนอาการหนัก สามารถนัดหมายเข้ามาทำกายภาพบำบัดที่ painclinicnear.me ได้เลย เรามีทีมแพทย์และนักกายภาพบำบัดปริญญาให้การดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด พร้อมเครื่องมือกายภาพบำบัดที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็น เครื่อง Shock Wave หรือ เครื่อง PMS มีการตรวจประเมินร่างกายและวางแผนรักษาเฉพาะบุคคลก่อนทุกครั้ง

FAQ

การทำกายภาพบำบัดจะช่วยให้อาการปวดเรื้อรังดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ควรเข้ารับการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์ หรือนักกายภาพบำบัดแนะนำ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว จะอยู่ที่ 5 – 6 ครั้ง สำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงมาก

ที่ Pain Clinic Near Me เราใช้เครื่องมือกายภาพบำบัดที่ทันสมัยในการรักษาผู้เข้าใช้บริการ ซึ่งจะช่วยให้อาการปวดดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยที่ไม่ต้องใช้ยา หรือผ่าตัดเลย

Pain Clinic Near Me เป็นคลินิกกายภาพบำบัดและเวชศาสตร์ฟื้นฟูที่ดูแลโดยแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งสามารถออกใบรับรองแพทย์ให้กับผู้ใช้บริการนำไปเบิกประกันสุขภาพ หรือประกันกลุ่มแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ได้

Pain Clinic Near Me มีที่จอดรถรองรับหลักร้อยคัน สามารถขับรถเข้ามาใช้บริการอย่างสบายใจได้เลย

สามารถชำระค่าใช้บริการเป็นเงินสด หรือโอนผ่านบัญชีธนาคารได้เลย