รักษา เข่าเสื่อม โดยไม่ต้องผ่าตัด (Treat osteoarthritis without surgery)

โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ เกิดจากการที่กระดูกอ่อนบริเวณข้อเข่าสูญเสียความสามารถในการรองรับแรงกระแทกและความยืดหยุ่นลดลง นอกจากนี้ยังเกิดจากกล้ามเนื้อต้นขาที่อ่อนแอ ทำให้ข้อเข่ารับแรงกดทับมากเกินไป ส่งผลให้กระดูกบริเวณข้อเสียดสีกันระหว่างการเคลื่อนไหว จนทำให้ผิวข้อเสื่อมและไม่เรียบ หากอาการรุนแรงขึ้น กระดูกอาจสร้างตัวใหม่เป็นกระดูกงอกภายในข้อ ทำให้เคลื่อนไหวลำบากและอาจมีเสียงดังในข้อ หากไม่ได้รับการรักษาหรือคำปรึกษาจากแพทย์ อาจเสี่ยงเกิดการอักเสบของข้อเข่า

สำหรับท่านใดที่มีอาการเข่าเสื่อม แล้วไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจัดการกับอาการที่เกิดขึ้นอย่างไรดี? painclinicnear.me จะพาคุณไปหาคำตอบเอง อ่านได้เลยที่บทความนี้!

สารบัญ

สาเหตุของโรคข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากหลายปัจจัย เช่น

  • อายุ: ความเสื่อมของกระดูกอ่อนตามวัย
  • น้ำหนักตัว: ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากจะมีแรงกดที่ข้อเข่ามากขึ้น
  • การบาดเจ็บที่ข้อเข่า: เช่น อุบัติเหตุหรือการเล่นกีฬา
  • กรรมพันธุ์: ประวัติครอบครัวที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม
  • โรคประจำตัว: เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์หรือเกาท์.

สัญญาณที่บ่งบอกถึงโรคข้อเข่าเสื่อม

  • ปวดหรือรู้สึกเสียวที่ข้อเข่า
  • ข้อตึงขัด โดยเฉพาะหลังตื่นนอน มักหายไปภายใน 30 นาทีหลังจากเคลื่อนไหว
  • มีเสียงกรอบแกรบในข้อเข่าขณะเคลื่อนไหว
  • พิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเข่าลดลง
  • อาจพบอาการข้อบวมในบางราย
  • หากปล่อยไว้นาน ข้อเข่าอาจเริ่มผิดรูป

การรักษาข้อเข่าเสื่อมแบบไม่ผ่าตัด

การรักษาข้อเข่าเสื่อมแบบไม่ผ่าตัดเป็นวิธีการบรรเทาอาการและฟื้นฟูข้อเข่าโดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัด สามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและสภาพข้อเข่าของผู้ป่วย แนวทางการรักษาแบบไม่ผ่าตัดที่ได้รับความนิยมมีดังนี้

  • การฉีดน้ำเลี้ยงข้อเทียมเข้าข้อ (Hyaluronic Acid Injections)
    ช่วยเพิ่มสารหล่อลื่นในข้อเข่า ลดการเสียดสีและลดอาการปวดข้อเข่า

  • การรักษาด้วยพลาสมาเกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet-Rich Plasma – PRP)
    ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อในข้อเข่าและลดการอักเสบ

  • การใช้สเต็มเซลล์ (Stem Cell Therapy)
    ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนที่เสื่อมสภาพ แต่มีข้อจำกัดในการใช้คำว่า “สเต็มเซลล์” ในการโฆษณาออนไลน์

  • การทำกายภาพบำบัด
    ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าและเพิ่มความยืดหยุ่นในการเคลื่อนไหว

  • การใช้ยาแก้อักเสบ
    ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ช่วยลดอาการปวดและการอักเสบของข้อเข่า

  • การใช้เครื่องพยุงข้อเข่า (Knee Braces)
    เพื่อช่วยบรรเทาแรงกระแทกและลดการเสียดสีของกระดูกอ่อนในข้อ

การรักษาเหล่านี้ช่วยลดอาการปวดและชะลอการเสื่อมของข้อเข่า แต่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล

การใช้ PRP (Platelet-Rich Plasma) ในการรักษาข้อเข่าเสื่อม

การใช้ PRP (Platelet-Rich Plasma) ในการรักษาข้อเข่าเสื่อมเป็นวิธีการทางเลือกที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นการรักษาที่ใช้ประโยชน์จากเกล็ดเลือด และ สารที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อจากเลือดของผู้ป่วยเอง กระบวนการรักษานี้สามารถช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูเนื้อเยื่อในข้อเข่าที่เสื่อมสภาพได้ โดยวิธีการทำ PRP มีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนการรักษาด้วย PRP

  • เก็บเลือดจากผู้ป่วย: ทำการเจาะเลือดจากผู้ป่วยในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อนำมาปั่นแยกเอาส่วนที่มีความเข้มข้นของเกล็ดเลือด (Platelet-Rich Plasma)

  • ปั่นแยกพลาสม่า: เลือดที่เก็บมาจะถูกนำไปปั่นในเครื่องปั่นแยกเลือด (centrifuge) เพื่อแยกเกล็ดเลือดเข้มข้นออกจากส่วนประกอบอื่น ๆ ของเลือด

  • ฉีด PRP เข้าไปในข้อเข่า: พลาสมาที่มีความเข้มข้นของเกล็ดเลือดจะถูกฉีดเข้าไปในบริเวณข้อเข่าที่เสื่อมสภาพ เพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูเนื้อเยื่อและลดการอักเสบ

ประโยชน์ของการรักษาด้วย PRP

  • ลดอาการปวด: PRP ช่วยลดการอักเสบในข้อเข่า ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการปวด
  • กระตุ้นการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ: เกล็ดเลือดใน PRP มีปัจจัยการเจริญเติบโตที่ช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูของกระดูกอ่อนและเนื้อเยื่อรอบข้อเข่า
  • ปลอดภัย: เนื่องจากใช้เลือดของผู้ป่วยเอง จึงลดความเสี่ยงต่อการแพ้หรือการติดเชื้อ
  • การฟื้นตัวเร็ว: การรักษาด้วย PRP ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้นและสามารถกลับไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ

ข้อควรระวัง

  • ผลลัพธ์ของการรักษาด้วย PRP อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพของข้อเข่าและอายุของผู้ป่วย
  • อาจต้องใช้การฉีด PRP หลายครั้งเพื่อให้เห็นผลที่ชัดเจน
  • ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเข้ารับการรักษา

ผลการวิจัย

งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าการฉีด PRP สามารถช่วยลดอาการปวด ปรับปรุงการทำงานของข้อเข่า และชะลอการเสื่อมของกระดูกอ่อนได้ อย่างไรก็ตาม การใช้ PRP ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาและต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการรักษา การรักษาข้อเข่าเสื่อมด้วย PRP จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการหลีกเลี่ยงการผ่าตัดและต้องการฟื้นฟูข้อเข่าอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมก่อนการรักษา

การใช้คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Type I Collagen) ในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis)

การใช้คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Type I Collagen) ในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) เป็นหนึ่งในวิธีการที่ได้รับการศึกษาวิจัยอย่างกว้างขวาง โดยคอลลาเจนชนิดที่ 1 เป็นส่วนประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในร่างกาย เช่น ผิวหนัง กระดูก และเส้นเอ็น ซึ่งคอลลาเจนชนิดนี้สามารถช่วยในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อและลดอาการอักเสบในข้อเข่าได้

หลักการทำงานของคอลลาเจนชนิดที่ 1

คอลลาเจนชนิดที่ 1 มีบทบาทสำคัญในการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อกระดูกอ่อน โดยการฉีดคอลลาเจนเข้าสู่ข้อเข่าสามารถกระตุ้นเซลล์กระดูกอ่อน (Chondrocytes) ให้ผลิตกระดูกอ่อนใหม่และลดการอักเสบในข้อเข่าได้.

ประโยชน์ของคอลลาเจนชนิดที่ 1 ในการรักษาข้อเข่าเสื่อม

  • ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อกระดูกอ่อน: คอลลาเจนชนิดที่ 1 มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างและฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหาย โดยเฉพาะในส่วนของกระดูกอ่อนในข้อเข่า ซึ่งจะช่วยลดการเสียดสีระหว่างกระดูกและบรรเทาอาการปวด
  • ลดการอักเสบ: คอลลาเจนชนิดที่ 1 มีคุณสมบัติที่ช่วยลดการอักเสบในข้อ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อาการของข้อเข่าเสื่อมรุนแรงขึ้น
  • เสริมสร้างความยืดหยุ่น: คอลลาเจนชนิดนี้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ทำให้การเคลื่อนไหวข้อเข่าดีขึ้น ลดความฝืด และเพิ่มความสะดวกในการทำกิจกรรมประจำวัน
  • ส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย: การรับประทานหรือฉีดคอลลาเจนชนิดที่ 1 อาจช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนเองมากขึ้น ซึ่งจะช่วยในการฟื้นฟูข้อเข่าในระยะยาว

ขั้นตอนการรักษา

  • การเตรียมตัว: ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการตรวจร่างกายและประเมินอาการจากแพทย์ก่อนการรักษา
  • การฉีดคอลลาเจน: คอลลาเจนชนิดที่ 1 จะถูกฉีดเข้าสู่ข้อเข่าที่มีปัญหา โดยแพทย์จะทำการฉีดในสภาพแวดล้อมที่ปลอดเชื้อ
  • การติดตามผล: หลังการฉีด ผู้ป่วยจะต้องมีการติดตามอาการเพื่อประเมินผลการรักษา

ข้อควรระวัง

  • ผลลัพธ์แตกต่างกันในแต่ละบุคคล: การตอบสนองต่อคอลลาเจนอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับระดับของการเสื่อมสภาพของข้อเข่า อายุ และปัจจัยอื่น ๆ
  • การเลือกผลิตภัณฑ์คอลลาเจน: ควรเลือกผลิตภัณฑ์คอลลาเจนที่ผ่านการรับรองและปลอดภัย โดยควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้

การใช้เทคโนโลยีชีวโมเลกุล ในการรักษาข้อเข่าเสื่อม

การใช้เทคโนโลยีชีวโมเลกุลในการรักษาข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) เป็นวิธีการทางการแพทย์ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเทคโนโลยีนี้มีความสามารถในการพัฒนาเนื้อเยื่อที่เสียหาย โดยเฉพาะในกรณีของข้อเข่าเสื่อม ซึ่งเกิดจากการสลายตัวของกระดูกอ่อนบริเวณข้อเข่า ทำให้เกิดอาการปวด บวม และข้อเข่าทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

หลักการทำงานของเทคโนโลยีชีวโมเลกุล

เทคโนโลยีชีวโมเลกุลมีคุณสมบัติในการเปลี่ยนแปลงและกระตุ้นการฟื้นฟูเนื้อเยื่อต่าง ๆ รวมถึงกระดูกอ่อนที่ช่วยให้ข้อเข่าเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น การฉีดเทคโนโลยีชีวโมเลกุลเข้าสู่ข้อเข่าช่วยกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมและลดการอักเสบ

ประเภทของเทคโนโลยีชีวโมเลกุลที่ใช้ในการรักษา

  • ชีวโมเลกุลจากไขกระดูก (Bone Marrow-derived Biomolecules)
    เป็นสารชีวโมเลกุลที่ได้จากการสกัดจากไขกระดูกของผู้ป่วยเอง สารเหล่านี้สามารถพัฒนาไปเป็นเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนที่ช่วยในการซ่อมแซมและฟื้นฟูข้อเข่าที่เสียหายได้

  • ชีวโมเลกุลจากเนื้อเยื่อไขมัน (Adipose-derived Biomolecules)
    สารชีวโมเลกุลชนิดนี้ถูกสกัดจากเนื้อเยื่อไขมันของผู้ป่วย มักจะสกัดจากบริเวณหน้าท้องหรือต้นขา ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับสารจากไขกระดูก แต่สกัดได้ง่ายกว่าและมีปริมาณมาก

  • ชีวโมเลกุลจากรกหรือสายสะดือ (Umbilical Cord-derived Biomolecules)
    สารชีวโมเลกุลชนิดนี้มักได้มาจากการบริจาคจากผู้ให้กำเนิด โดยมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อและลดการอักเสบที่เกิดจากข้อเข่าเสื่อม

วิธีการรักษาด้วยเทคโนโลยีชีวโมเลกุล

  • การเก็บสารชีวโมเลกุล: แพทย์จะทำการสกัดสารชีวโมเลกุลจากแหล่งที่เหมาะสม เช่น ไขกระดูกหรือเนื้อเยื่อไขมันของผู้ป่วย โดยใช้วิธีการเก็บที่ปลอดภัยและมีความเสี่ยงน้อย
  • การเพาะเลี้ยงและแยกสารชีวโมเลกุล: สารชีวโมเลกุลที่เก็บมาแล้วจะถูกนำไปเพาะเลี้ยงเพื่อเพิ่มปริมาณและแยกสารที่มีคุณภาพสูง
  • การฉีดสารชีวโมเลกุลเข้าสู่ข้อเข่า: แพทย์จะทำการฉีดสารชีวโมเลกุลเข้าสู่บริเวณข้อเข่าที่เสื่อม โดยสารเหล่านี้จะช่วยฟื้นฟูและสร้างเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนใหม่

ประโยชน์ของการรักษาด้วยเทคโนโลยีชีวโมเลกุล

  • ฟื้นฟูเนื้อเยื่อกระดูกอ่อน: สารชีวโมเลกุลสามารถพัฒนาไปเป็นเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนใหม่ ช่วยฟื้นฟูข้อเข่าที่เสียหาย
  • ลดการอักเสบ: สารชีวโมเลกุลมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบที่เกิดขึ้นในข้อเข่า ช่วยบรรเทาอาการปวดและบวม
  • หลีกเลี่ยงการผ่าตัด: เป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ต้องการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ซึ่งเป็นการรักษาที่มีความเสี่ยงสูงและใช้เวลาฟื้นตัวนาน
  • การฟื้นตัวเร็ว: ผู้ป่วยที่รักษาด้วยเทคโนโลยีชีวโมเลกุลมักฟื้นตัวได้เร็วและสามารถกลับไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ในระยะเวลาสั้น

ข้อควรระวัง

  • การรักษาด้วยเทคโนโลยีชีวโมเลกุลยังคงอยู่ในขั้นตอนการวิจัย และผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
  • การรักษาอาจมีค่าใช้จ่ายสูง และยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลก
  • ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มการรักษา เพื่อเข้าใจถึงข้อดีและข้อจำกัด

การรักษาข้อเข่าเสื่อมโดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วย CTB Program

การรักษาข้อเข่าเสื่อมโดยไม่ต้องผ่าตัดด้วย CTB Program (Cartilage Tissue Bio-therapy Program) เป็นวิธีการบำบัดที่ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีทางการแพทย์และการฟื้นฟูโดยเน้นการกระตุ้นให้ร่างกายซ่อมแซมกระดูกอ่อนที่เสียหายด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือใช้ยาที่มีผลข้างเคียงมาก โปรแกรมนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาข้อเข่าเสื่อมในระยะเริ่มต้นหรือปานกลาง

หลักการของ CTB Program

CTB Program มุ่งเน้นการฟื้นฟูและบำรุงเนื้อเยื่อในข้อเข่าโดยใช้กระบวนการฟื้นฟูเซลล์ ซึ่งมักประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก คือ:

  • การกระตุ้นการฟื้นฟูด้วย PRP (Platelet-Rich Plasma)
    PRP เป็นการฉีดเกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นสูงซึ่งสกัดจากเลือดของผู้ป่วยเอง เซลล์เหล่านี้มีสารที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นให้ร่างกายฟื้นฟูเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนในข้อเข่า

  • การฟื้นฟูเนื้อเยื่อด้วยคอลลาเจนเปปไทด์
    คอลลาเจนเปปไทด์ชนิดพิเศษที่ใช้ใน CTB Program ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในข้อเข่า โดยเฉพาะกระดูกอ่อน ทำให้ข้อเข่ามีความยืดหยุ่นและทนต่อแรงกระแทกได้ดีขึ้น

  • การออกกำลังกายและกายภาพบำบัดเฉพาะทาง
    การออกกำลังกายที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าและเพิ่มความยืดหยุ่น ซึ่งช่วยลดอาการปวดและป้องกันการเสื่อมของข้อเข่าในอนาคต

ขั้นตอนการรักษาด้วย CTB Program 

  • Personalized Assessment (การประเมินเฉพาะบุคคล)
    การรักษาขั้นตอนแรกเริ่มต้นด้วยการประเมินผู้ป่วยอย่างละเอียด ซึ่งแพทย์จะทำการตรวจร่างกายและใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบสภาพของข้อเข่า รวมถึงการตรวจวิเคราะห์การเคลื่อนไหว (gait analysis) และการวัดความเสื่อมของกระดูกอ่อนในข้อเข่า โดยข้อมูลเหล่านี้จะช่วยในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน

  • Advance Rehabilitation Program (โปรแกรมการฟื้นฟูขั้นสูง)
    โปรแกรมนี้มุ่งเน้นการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า เพื่อช่วยสนับสนุนข้อเข่าให้ทำงานได้ดีขึ้น ลดอาการปวดและการอักเสบ โดยผู้ป่วยจะได้รับการดูแลจากทีมกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญในการฟื้นฟูข้อเข่าเสื่อม ซึ่งโปรแกรมการฟื้นฟูนี้จะถูกออกแบบให้เหมาะกับผู้ป่วยเฉพาะบุคคล เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและการเคลื่อนไหวของข้อเข่าให้ดีขึ้น

  • Cartilage Tissue Biomolecule (CTB) (การรักษาด้วยโมเลกุลทางชีวภาพของกระดูกอ่อน)
    ขั้นตอนสำคัญของโปรแกรมคือการใช้เทคโนโลยีชีวโมเลกุลในการฟื้นฟูกระดูกอ่อน แพทย์จะทำการฉีดสารชีวโมเลกุล เช่น PRP (Platelet-Rich Plasma) หรือสารคอลลาเจนเปปไทด์เข้มข้นเข้าสู่บริเวณข้อเข่าที่เสื่อม สารเหล่านี้ช่วยกระตุ้นการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนที่เสียหาย ลดการอักเสบและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับข้อเข่า ทำให้การเคลื่อนไหวของข้อดีขึ้น

  • Patient Activities Analysis (การวิเคราะห์กิจกรรมของผู้ป่วย)
    หลังจากการรักษา ทีมแพทย์และนักกายภาพบำบัดจะทำการวิเคราะห์กิจกรรมของผู้ป่วย เพื่อประเมินผลการรักษาและปรับแผนการฟื้นฟูให้เหมาะสมกับกิจกรรมประจำวันของผู้ป่วย เช่น การเดิน วิ่ง หรือการทำงานหนัก การวิเคราะห์นี้ช่วยให้แพทย์และทีมดูแลสามารถปรับโปรแกรมการรักษาและการฟื้นฟูได้อย่างเหมาะสมเพื่อให้ผู้ป่วยกลับไปทำกิจกรรมได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ประโยชน์ของ CTB Program

  • ไม่ต้องผ่าตัด: CTB Program เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรับการผ่าตัด หรือผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการใช้ยาแรง ๆ
  • ลดอาการปวดและการอักเสบ: ด้วยการใช้ PRP และการเสริมสร้างคอลลาเจนเปปไทด์ ช่วยลดอาการปวดและการอักเสบในข้อเข่า
  • ฟื้นฟูกระดูกอ่อนและข้อเข่า: CTB Program มุ่งเน้นการฟื้นฟูเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนที่เสื่อมสภาพ ทำให้ข้อเข่ามีความแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น
  • ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน: เนื่องจากเป็นการกระตุ้นการฟื้นฟูเนื้อเยื่อจากภายใน ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมนี้มีแนวโน้มที่จะยั่งยืนมากกว่าเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยยาแก้ปวดหรือการรักษาชั่วคราวอื่น ๆ

ข้อควรระวัง

  • ผลการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพข้อเข่าและการตอบสนองของร่างกาย
  • ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยและคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มโปรแกรม เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสม

FAQ

การทำกายภาพบำบัดจะช่วยให้อาการปวดเรื้อรังดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ควรเข้ารับการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์ หรือนักกายภาพบำบัดแนะนำ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว จะอยู่ที่ 5 – 6 ครั้ง สำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงมาก

ที่ Pain Clinic Near Me เราใช้เครื่องมือกายภาพบำบัดที่ทันสมัยในการรักษาผู้เข้าใช้บริการ ซึ่งจะช่วยให้อาการปวดดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยที่ไม่ต้องใช้ยา หรือผ่าตัดเลย

Pain Clinic Near Me เป็นคลินิกกายภาพบำบัดและเวชศาสตร์ฟื้นฟูที่ดูแลโดยแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งสามารถออกใบรับรองแพทย์ให้กับผู้ใช้บริการนำไปเบิกประกันสุขภาพ หรือประกันกลุ่มแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ได้

Pain Clinic Near Me มีที่จอดรถรองรับหลักร้อยคัน สามารถขับรถเข้ามาใช้บริการอย่างสบายใจได้เลย

สามารถชำระค่าใช้บริการเป็นเงินสด หรือโอนผ่านบัญชีธนาคารได้เลย